การดึงดูดผู้คนให้มีความสนใจในงานพิมพ์ได้นั้น ก็คือสีสันของงานพิมพ์ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่างานพิมพ์ของเรามีกี่สี มีเยอะสีไหม ถ้าส่งไปพิมพ์แล้วจะทำให้ราคางานพิมพ์สูงไหม มาเรียนรู้กันว่าวิธีการนับสีนับกันอย่างไร
การนับสี หลักการนับสีมีอยู่ว่า 1 เพลท คือ 1 สี เพราะภาพต่าง ๆที่เราเห็นจะใช้แค่ 4 เพลท หรือที่เรียกกันว่างาน 4 สี นั่นเอง ใช้หลักเดียวกันกับการผสมสี แม่สี 3 สี และจะมีสีดำอีกหนึ่งเป็น 4 ผสมกันวาดเป็นภาพเหมือนจริงได้ แต่งานพิมพ์ก็จะมีสีพิเศษเพิ่มเข้ามาตามความต้องการ การใช้งาน เช่น สีเงิน สีทอง เป็นสีพิเศษต้องเพิ่มเพลท ก็จะนับเพิ่มเป็น 1 สี
พิมพ์ 1 สี งานพิมพ์ 1 สี เป็นงานพิมพ์ที่เราเห็นสีกันทั่วไป ส่วนมากจะเป็นงานขาวดำ เช่น หนังสือเรียน หนังสือเล่ม พ็อตเก็ตบุคส์ แต่จะเป็นหน้าข้างใน ไม่ใช่ปก งานสีเดียวไม่จำเป็นจะต้องใช้แค่สีขาวดำก็ได้ จะพิมพ์เป็นสี เขียว เหลือง แดง น้ำเงิน ก็ได้แต่ในสีที่พิมพ์จะทำเป็นหลายระดับอ่อนไปจนถึงเข้มได้ ให้ดูเหมือนว่ามีหลายสี เช่น การเลือกสีน้ำเงินในการพิมพ์กระดาษขาว ก็จะไล่สีน้ำเงินเข้มไปจนสีอ่อนก็จะดูเหมือนมีสีฟ้า สีคราม ในงานเดียวกันได้ การพิมพ์ 1 สี จะมีต้นทุนต่ำที่สุด
พิมพ์ 2 สี และ 3 สี การพิมพ์หลายสีเพื่อเพิ่มความน่าสนใจของงานพิมพ์ ต้องการความสวยงามให้งานน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น ก็อาจจะพิมพ์หลายสี คือ พิมพ์ 2 สี หรือ 3 สี ส่วนใหญ่จะนิยม 2 สี เช่น ดำกับแดง หรือ เขียวกับเหลือง หรือจะเป็นคู่สีอะไรก็ได้ ค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่ง เพราะโรงพิมพ์จะต้องเพิ่มเพลทตามจำนวนสีด้วย
พิมพ์สี่สี หากต้องการพิมพ์ภาพที่มีสีสันสวยงาม เป็นภาพเสมือนจริงเหมือนกับที่ตาเราเห็น ต้องพิมพ์ 4 สี การพิมพ์แบบนี้จะได้หลายสีเป็นสีที่เหมือนกับรูปแบบหรือต้นฉบับที่เราต้องการ วิธีพิมพ์ 4 สี คือการใช้สี CMYK (สีดำ แดง เหลือง น้ำเงิน) พิมพ์ผสมกันออกมาจะได้สารพัดสี ซึ่งจะยากกว่าทั้ง 2 แบบแรก ค่าใช้จ่ายก็สูงตามด้วย เพราะต้องใช้เพลท 4 ตัว และต้องพิมพ์สี่รอบ ส่วนมากจะนิยมเป็น ทำปกโปสเตอร์ หรือหน้าแฟชั่นในนิตยสาร เป็นต้น
พิมพ์สีพิเศษ สีพิเศษคือสีที่ไม่สามารถผสมระหว่างสีได้ เช่น สีทอง สีเงิน และสีสะทองแสง เป็นต้น เฉดสีทองและเฉดสีเงินก็จะมีความแตกต่างกัน สีทองจะให้ความเงาและด้านต่างกัน สีเงินจะมีเงินมันวาวกับเงินด้าน ซึ่งสีพิเศษนี้จะต้องทำเพลทเพิ่มขึ้นตามจำนวนสีอีกเช่นเดียวกัน
